เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2567
เรื่อง อริยสัจ 4 เพื่อเข้าถึงพระนิพพาน
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วทั้งร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายทุกส่วน พร้อมกับความรู้สึกปลดความเกาะ ปลดความรู้สึกในร่างกายขันธ์ 5 ทั้งหมดออกไป ผ่อนคลายพร้อมกับปล่อยวางร่างกายขันธ์ 5 ตัดขันธ์ 5 ของเราออกไป ความรู้สึกเพื่อแยกกายแยกจิต
จากนั้นจึงกำหนดพิจารณาปล่อยวางความวิตกกังวล คือปล่อยวางใจปล่อยวางจิตของเรา จากความกังวลทั้งหลาย ความห่วงทั้งหลาย ภาระทั้งหลาย ตั้งใจว่าทุกครั้งที่เราปฏิบัติสมาธิ เราวางทุกสิ่งไว้ เราละทุกสิ่งที่เป็นความห่วง ตั้งแต่ร่างกาย จิตใจ ภาระ ความห่วงในบุคคลอื่น ปล่อยวางไปให้หมด ปล่อยวางออกไปให้มากที่สุด ปล่อยวางทั้งกายและใจ เพื่อเข้าถึงความสงบของจิต จากนั้นจดจ่อก็อยู่กับลมหายใจสบาย ลมหายใจเหมือนกับแพรวไหมพริ้วผ่านเข้าออกในกาย จนเข้าถึงอารมณ์จิตที่เบาสบายปลอดโปร่ง จิตปล่อยวางสงบร่มเย็น ทรงอารมณ์อยู่กับความสงบของจิตในอานาปานสติ ลมหายใจยิ่งละเอียดเบา อารมณ์จิตยิ่งเบาสบาย เมื่อลมหายใจละเอียดเบาสงบ กำหนดหยุดจิต นิ่งหยุดจนเข้าถึงเอกัคคตารมณ์ อุเบกขารมณ์ จิตมีจิตตานุภาพอยู่เหนือจิตใจของเรา อยู่เหนือความรู้สึกวุ่นวายปรุงแต่ง จิตหยุดดับนิวรณ์ 5 ประการออกไป สงบนิ่งหยุดผ่องใส เมื่อนิ่งหยุดจนจิตรวมตัวได้ กำหนดจินตภาพ ณ จุดที่หยุดของลมหายใจของจิต กำหนดจินตภาพเป็นดวงแก้วสว่างใส เดินจิตจากอานาปานสติขึ้นมาเป็นกสิณ กสิณคือจิต จิตคือกสิณ จากจิตที่เป็นดวงแก้วใสสงบนิ่งสว่าง กำหนดน้อมจินตภาพขึ้นมาอีกให้กลายเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง จดจ่ออยู่กับภาพที่ดวงจิตเป็นเพชรประกายพรึกนั้น จิตเป็นเพชรประกายพรึกสว่างพร้อมกับมีเส้นแสงรัศมีของจิตสว่างแผ่กระจายลงไป
จากนั้นเดินจิตต่อไปว่า รัศมีแสงสว่างที่แผ่ออกมาเป็นเส้นแสง และออกมาเป็นคลื่นรัศมีความสว่าง จากจิตที่ประภัสสรคือเป็นเพชรประกายพรึกนั้น คลื่นรัศมีของจิตเป็นคลื่นเป็นกระแสที่แผ่ออกมา เป็นกระแสของเมตตาอันไม่มีประมาณจากจิตของเรา เป็นคลื่นที่แผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับผืนน้ำที่ราบเรียบสงบ มีก้อนหินตกกระทบคลื่นแผ่กระจายเป็นวงออกไปโดยรอบ จิตของเราก็แผ่คลื่นกระแสรัศมีของจิตเป็นกระแสของความเมตตาอันไม่มีประมาณ คลื่นของความสงบเย็น ความปรารถนาดี ความรักเจตจำนงอันบริสุทธิ์ที่ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ เข้าถึงความสุข กำหนดให้เห็นจิตของเราเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง พร้อมกับมีคลื่นกระแสของความเมตตาแผ่ออกไป จนรู้สึกได้ว่าจิตแผ่คลื่นมีความเย็น ความสบาย ความสว่างสงบ กระจายออกไป ทะลุออกไปจากกายเนื้อ จนรู้สึกได้ว่าทั่วกายทั่วรูขุมขนของขันธ์ 5 กายเนื้อ มีคลื่นกระแสของความเย็นแผ่ออกมาจากกาย เป็นความเย็นที่เป็นความสบาย ความรู้สึกที่เป็นสุข เมตตา ความรัก ความปรารถนาดี จนบรรยากาศรายรอบกายเรา ณ สถานที่ที่เราฝึกสมาธิ มีคลื่นกระแสของความเย็นจนรู้สึกสัมผัสได้ ว่ารอบกายของเราขณะนี้เย็นขึ้น ใจเรายิ่งเป็นสุข ยิ่งพอใจ มีธรรมฉันทะกับความสงบเย็นที่เราแผ่ออกมา ทั้งใจเราสงบเย็นดับความเร่าร้อน กระแสที่แผ่ออกมาก็พลอยทำให้บุคคลรอบข้างก็ดี ดวงจิตของสัตว์ทั้งหลายก็ดี ดวงจิตของเทพพรหมเทวา ณ สถานที่เคหะสถานที่เราปฏิบัติ ที่เราฝึกสมาธิก็ดี มีความเย็น มีความสว่าง มีความสุข ตามไปด้วย หรือแม้กระทั่งสถานที่คลื่นกระแสที่เราแผ่เป็นความเย็น เป็นไอเย็น เป็นกระแสเมตตาก็ยังนำพาให้สถานที่ วัตถุสิ่งของนั้น ปรับคลื่น ปรับผลึก ปรับอนุภาค กระแสแห่งเมตตา กระแสแห่งความสงบเย็นที่เราแผ่ออกไปจากจิตที่ประภัสสรนั้น พลอยทำให้สถานที่นั้น มีพลังงานที่เป็นบวก กระแสสถานที่นั้นก็พลอยมีพลังของฮวงจุ้ยที่ดี มีแต่ความสุข ความร่มเย็น ความเจริญรุ่งเรือง มีแต่ความรัก มีแต่ความสามัคคี มีแต่ความอยู่เย็นเป็นสุขตามไปด้วย ทรงอารมณ์แผ่เมตตา แผ่กระแสของเมตตาจนเห็นกายเป็นแก้วใส สถานที่สว่างเป็นแก้วแกมทอง บ้านทั้งหลัง ห้อง เฟอร์นิเจอร์ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นแก้วสว่างไปหมด ทรงอารมณ์ ทรงความรู้สึก แผ่กระแสให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ความสุขความร่มเย็นต่อชีวิต ต่อคนรอบข้าง ต่อสถานที่ ทรงอารมณ์ความผ่องใสนี้ไว้ กระแสใจของเราสงบร่มเย็น จนตระหนักได้ว่า เมื่อจิตเราผ่องใส จิตเราเป็นทิพย์ เราไปอยู่ในที่ใดเราปฏิบัติธรรมในสถานที่ใด สถานที่นั้นก็พลอยสงบเย็นเป็นทิพย์ จนกระทั่งเราก้าวข้ามผ่าน ไม่ว่าจะปฏิบัติในสถานที่ใด สถานที่นั้นเราก็สามารถทรงสมาธิทรงอารมณ์จิต ทรงอารมณ์ พระกรรมฐานได้เฉกเช่นเดียวกัน จนไม่จำเป็นต้องไปเสาะแสวงหาสถานที่ เราอยู่ที่ใดที่นั้นสัปปายะ จิตเราสัปปายะ สถานที่ทุกสถานที่สัปปายะ
กำหนดจิตแผ่เมตตาสว่างสงบร่มเย็น ใจเรายิ่งสบาย ใจเรายิ่งเป็นสุข ใจเรายิ่งมีความยินดีคือธรรมฉันทะในการทรงอารมณ์ จิตเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง คลื่นกระแสแผ่รัศมีสว่าง บ้านเรือนเคหะสถาน สถานที่มีแต่พลังงาน มีแต่กระแสที่เป็นกุศล กระแสที่เป็นเมตตา กระแสที่เป็นบุญ จากนั้นกำหนดจิตต่อไป จิตเราได้ใช้กำลังสมาธิที่พากเพียรฝึกฝนปฏิบัติด้วยความเพียร ด้วยกำลังใจ จนจิตเข้าถึงจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร จิตเป็นปฏิภาคณนิมิตแล้ว ตอนนี้เราตั้งจิตว่ากำลังใจของเรานั้น เรายังเป็นปุถุชนวิสัยบ้าง กำลังใจอย่างไรเราก็ไม่สู้ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งพระบรมครูคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราน้อมรำลึกถึงพระคุณของพระพุทธองค์ และตั้งจิตอาราธนาปรากฏ องค์พระปรากฏในดวงจิต ดวงแก้วปรากฏองค์พระสว่าง ดวงจิตเราพลอยขยายใหญ่ รัศมีแสงสว่างคลื่นกระแสฉัพพรรณรังสี กระแสพระพุทธเมตตา กระแสพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ สว่างองค์พระปรากฏใหญ่คลุมบ้านทั้งหมด แผ่กระแสโดยน้อมจิต น้อมนำอัญเชิญกำลังพุทธานุภาพ กำลังพุทธบารมีแผ่เมตตาสว่างไปทั่วอนันตจักรวาล จิตเรายิ่งสว่าง จิตเรายิ่งมีกำลัง จิตเรายิ่งมีความผ่องใส เราเข้าถึงองค์พระภายใน เราเข้าถึงกำลังแห่งพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ ทรงอารมณ์ ทรงภาพพระ ทรงกระแสแผ่เมตตาอันไม่มีประมาณ จากองค์พระเป็นพุทธานุภาพ พุทธเมตตาแผ่ไปยังสรรพสัตว์ทั่ว 3 ภพภูมิ ทรงอารมณ์ที่ทรงภาพพระ พร้อมกับกระแสเมตตาแผ่กระจายออกไป
จากนั้นเราจึงน้อมจิตอาราธนาบารมี ขอกำลังพุทธานุภาพ ยกจิตอาทิสมานกายของข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม พร้อมด้วยมหาสมาคม คือพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน เมื่อขึ้นไป ปรากฏเป็นกายพระวิสุทธิเทพแล้ว ก็กำหนดจิต กำหนดความรู้สึกในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ทำความรู้สึกว่ากายเรามีลักษณะอย่างไร มีความใส มีแสงสว่างแผ่ออกมาจากกายอย่างไร มีเครื่องทรงเครื่องประดับอย่างไร
เรากำหนดรู้และพิจารณาพร้อมกันไปว่า เราคือ อาทิสมานกาย เราไม่ใช่ร่างกายขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวเราของเรา เราคือจิตอาทิสมานกาย และขณะนี้เรากำหนดจิต ตัดร่างกาย ตัดภพจบชาติ ตัดสังโยชน์ 10 มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย อาราธนาบารมี ใช้กำลังของมโนมยิทธิ ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน กายทิพย์อาทิสมานกายเราจึงปรากฏสภาวะในความเป็นกายแห่งกายพระวิสุทธิเทพ คือเครื่องแบบคือเครื่องประดับที่สวมใส่ในยามที่จิตดวงนั้นบรรลุอรหัตตผลและขึ้นมาอยู่บนพระนิพพาน ก็จะมีสภาวะเป็นกายพระวิสุทธิเทพ
กายพระวิสุทธิเทพนั้น คำว่าวิสุทธิแปลว่าผู้บริสุทธิ์หมดจด เทพก็คือสภาวะของกายทิพย์ ดังนั้นกายพระวิสุทธิเทพก็คือกายที่เป็นกายทิพย์อันสิ้นสรรพกิเลสคือความโลภ โกรธ หลง ตัดกิเลสทั้งหลายเป็นสมุจเฉทปหาน ตัดสังโยชน์ทั้ง 10 อันเป็นเครื่องร้อยรัดดวงจิตไว้กับภพภูมิในสังสารวัฏ
เรากำหนดความรู้สึกในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพสว่างปรากฏ พร้อมกับน้อมจิตกราบแทบเบื้องพระบาทของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ บนพระนิพพาน แยกกายออกไปได้มากมายมหาศาล เท่ากับทุกท่านทุกๆพระองค์ เมื่อกราบแล้วเราก็น้อมจิตพิจารณาในอริยสัจ 4 กำหนดจิตอธิษฐานขอให้เกิดปรากฏรัตนบัลลังก์เป็นดอกบัวแก้ว คือที่รองนั่งเป็นดอกบัวแก้วสว่าง กำหนดจิตขัดสมาธิ ตั้งจิตว่าใช้กายพระวิสุทธิเทพขัดสมาธิเจริญพระกรรมฐานอยู่เบื้องหน้าทุกท่านทุกๆ พระองค์บน พระนิพพาน พิจารณาในอริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธและมรรค คำว่าทุกข์ก็คือความทุกข์ สมุทัยคือสาเหตุแห่งความทุกข์
เราพิจารณาไล่ตั้งแต่ความทุกข์ ทุกข์โดยสภาวะของการมีธาตุขันธ์ ความหิวเป็นทุกข์ ความเหนื่อยเป็นทุกข์ ความร้อนเป็นทุกข์ ความหนาวเป็นทุกข์ นั่งเกินไปอริยบทที่แช่อยู่นาน เดินนานก็เป็นทุกข์ ยืนนานก็เป็นทุกข์ นั่งนานก็เกิดเหน็บชาเป็นทุกข์ นอนนานมากเกินไปก็มีอาการมึนหัวเวียนหัว นานมากเข้าไปอีกก็เกิดแผลกดทับ ร่วมความก็ว่า การมีขันธ์ 5 ทุกสิ่งทุกอย่างอันที่จริงก็เป็นทุกข์ เพียงแต่ว่าเราไม่เห็นทุกข์ เพราะเมื่อเมื่อย เราก็เปลี่ยนอิริยาบถ ขยับอิริยาบท หิวเราก็กิน ดังนั้นบางครั้งความทุกข์มันบรรเทามันคลายไป เราก็เลยไม่สังเกต หรือรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ถ้าพิจารณาก็คือมันเป็นทุกข์ การพิจารณาทุกข์ เราต้องยอมรับตามความเป็นจริง คือพิจารณาให้เห็นจริงว่าอันที่จริงมันเป็นทุกข์ บางครั้งเราดื้อว่าก็ไม่เห็นเป็นไร เมื่อยเราก็ขยับ เหนื่อยเราก็นอน เราก็ทำแบบนี้ซ้ำซากไปเรื่อยๆอันนี้คือว่าเฉพาะความทุกข์จากการมีขันธ์ 5 ความทุกข์จากการที่เราดำรงการมีร่างกายในความเป็นมนุษย์ คราวนี้ความทุกข์ที่มันเพิ่มขึ้นมาอีกก็คือ ความทุกข์จากสภาวะของความเหนื่อยยากที่เราต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ ความทุกข์จากการแปรปรวนตามกฎของไตรลักษณ์ คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สำหรับร่างกายก็คือเมื่อมีการเกิด ก็มีการแก่ มีความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย มีความตาย ความทรมานจากความตาย อันนี้ก็เป็นไปตามอนิจจลักษณะ สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นความทุกข์ไหม คิดเอาง่ายๆ ว่าในยามที่เกิดขึ้น เราคลอดจากท้องแม่ออกมา พอคลอดออกมาปุ๊บ ทารกทุกคนไม่มีใครหัวเราะยิ้มแย้มดีใจเลยแม้แต่คนเดียว ทารกทุกคนที่คลอดออกมาปุ๊บ ร้องไห้ทุกคน ถ้าไม่ร้องหมอก็ตบก้นให้ร้องจนได้ อาการกริยาของการร้องไห้ตั้งแต่เป็นทารก ก็เป็นสัญญาณให้เราสังเกตพิจารณาว่า ภาวะการเกิดมันเป็นทุกข์ เพราะถ้าไม่ทุกช์ก็คงไม่ร้องไห้ ทารกพอหิวนมก็ร้องก็ร้องไห้ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะเรี่ยราดออกมาก็ร้องไห้
รวมความแล้วจริงๆ มันเป็นสุขหรือทุกข์ และความทุกข์ก็ไม่ใช่เฉพาะแต่ตัวเราที่เป็นทารก ตอนแม่เบ่งท้องเราออก ยิ้มแย้มสบายหรือว่าร้องด้วยความเจ็บปวด สรุปรวมความแล้วการเกิดเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ความสุขอาจจะเกิดขึ้นจากความยินดีที่ได้ลูก แต่ความทุกข์จากความเจ็บปวดในการคลอดในการเบ่ง มันเกิดขึ้นแน่นอน เราพิจารณาให้เห็นทุกข์ คราวนี้ ความทุกข์มันมีไหม ความทุกข์นอกเหนือจากนี้มันก็เป็นเรื่องของความทุกข์จากเรื่องของใจ
ความทุกข์จากการกระทบกระทั่งกัน จะวาจากระทบใจกันก็ทุกข์ จะพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักเราห่วงแหนเราก็ทุกข์ ของรักเราสูญหายไปมันก็ทุกข์ สิ่งที่มันกระทบกระทั่งใจทั้งหลายเหล่านี้ คนพูดให้ไม่สบายใจก็ทุกข์ โลกธรรม 8 เกิดขึ้น คำสรรเสริญที่เคยสรรเสริญหายไปก็ทุกข์ วาจาที่นินทาว่าร้าย ด่าต่อหน้าประจานต่อหน้าเราก็ทุกข์ ลาภมันหายไป ลาภที่พึงมีมันไม่มีมันไม่เคยได้ มันหายไปมันลดไปเราก็ทุกข์ รวมความแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นทุกข์ไหม เราพิจารณาก่อน คราวนี้ความทุกข์ที่มันสูงขึ้นไปอีก ละเอียดขึ้นไปอีก ซึ่งจำเป็นจะต้องมีปัญญาพิจารณาเข้าใจศรัทธาในเรื่องของภพภูมิ หรือได้ญาณที่เป็นเครื่องรู้ที่ทำให้กระจ่างแจ้งเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เรื่องภพภูมิมีจริง เพราะสุดท้ายแล้วในเรื่องของการปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน เพื่อหลุดพ้น ถ้าไม่เข้าใจเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เข้าใจเรื่องสภาวะพระนิพพาน เราก็ไม่อาจจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ ถ้าไม่เข้าใจว่าพระนิพพานมีสภาวะที่เป็นทิพย์พิเศษ คือไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เราก็จะสำคัญผิดคิดว่าความว่างคือแค่อรูป สำคัญคิดว่าคือพระนิพพาน
ในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด ความทุกข์ของสังสารวัฏ ก็คือการที่เราจำเป็นที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปตามกระแสของกรรม กระแสของวิบากตามเหตุที่เราทำ เราพยาบาทจองเวรใครไว้ เราเกิดไปชาติต่อๆ ไป เราก็ต้องรับกรรมและผลของกรรม เราเคยฆ่าตัวตายไว้ จิตมีความเศร้าหมอง บีบคั้นจิตจนอยากตัดรอนชีวิตตน ความเข้มข้นของจิตนี้มันก็ฝังอยู่ในจิตในใจเรา อารมณ์ที่จะฆ่าตัวตายมันก็ฝังจิต พอไปเกิดชาติต่อไป อารมณ์เดิมมันก็กลับมา มันก็เลยทำให้เราฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า กรรมมันก็เกิดขึ้น จากสภาวะที่จิตของเราฝังใจบันทึกด้วยความเข้มข้นของอารมณ์ จนทำซ้ำเกิดซ้ำ ทำซ้ำเกิดซ้ำ จริงๆความหมายของคำว่าต้องไปเกิด เกิดแล้วฆ่าตัวตายซ้ำไป 500 ชาติ ความหมายของ 500 ชาติก็คือมันนานมาก อันที่จริงมันอาจจะไม่ใช่ 500 ชาติ ถ้าถอดถอนจิตออกไปไม่ได้ก็อาจจะเป็นพันชาติหมื่นชาติแสนชาติก็เป็นไปได้ หรือถ้าเกิดได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานหรือทำบุญสร้างกุศลจนจิตมันคลายมันหลุดจากอารมณ์เศร้าหมองที่เคยฝังใจกับการฆ่าตัวตาย ก็อาจจะทำให้ไม่ถึง 500 ชาติ คิดได้เมื่อไหร่ หลุดเมื่อไหร่มันก็พ้นจากบ่วงกรรม อันนี้ก็เช่นกันกับการเกิดเป็นสัตว์ ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน 500 ชาติ จิตที่มันไปเกาะมันไปคิด ไปชอบไปพึงใจ ในพระธรรมบทมีปรากฏอยู่ว่ารักหมามากก็ไปเกิดเป็นหมาได้ รักแมวมากก็ไปเกิดซ้ำเป็นแมวได้
ในพระธรรมบทมีกล่าวว่า มีข้าทาสคนหนึ่งทำบุญสร้างกุศลมาพอสมควร ถึงเวลามีเศรษฐีมารับเลี้ยง ดูแลให้ทำงาน คราวนี้เห็นสุนัขของเศรษฐีมีอาหารกิน 3 มื้อ แถมอาหารที่เลี้ยงก็เป็นอาหารดีๆชนิดที่บางครั้งสมัยก่อนยามยาก บุคคลนี้ไม่เคยได้กินของเหมือนกับสุนัขกิน สุนัขของเศรษฐีกินดีกว่าตอนที่เป็นยาจกเข็ญใจ ก็มีความคิดความรู้สึกว่าเกิดเป็นสุนัขนี่มันดีจัง มีคนให้อาหารไม่ต้องทุกข์ไม่ต้องลำบาก ถึงเวลาก็มีคนมาลูบหัวลูบหาง หาของดีๆมาให้กิน เป็นที่รัก ได้มานั่งตักของเศรษฐี พอถึงเวลาตายไป ก็ไปปรากฏเกิดเป็นสุนัข อันนี้ก็เพราะว่าจิตพึงพอใจ อย่างตอนนี้เป็นทาสแมวเป็นทาสน้องหมากันมาก หากไม่เคยปฏิบัติธรรม รักมากเกินไปพอใจมากเกินไปถึงเวลาก็มีโอกาส ใช้คำว่ามีโอกาสที่จะไปเกิดเป็นหมาเป็นแมว คราวนี้เมื่อไหร่ที่พึงพอใจกับการไปเกิดเป็นหมาเป็นแมว มันก็ทำให้เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำอีกไปเรื่อยๆ ดังนั้นจุดนี้แหละเป็นเรื่องที่น่ากลัวของสังสารวัฏ มันไม่ใช่ว่ามนุษย์เราเกิดเป็นคน เกิดเป็นมนุษย์ แล้วมันจะเท่าเดิมจะเกิดเป็นคนทุกชาติ ในศาสนาอื่นก็ยังไม่เข้าใจตรงจุดนี้ มีพระพุทธศาสนาที่อธิบายและเข้าใจ ศาสนาอื่นถ้าเป็นศาสนาที่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ก็มักจะเชื่อว่าเกิดเป็นคนแล้วก็ต้องกลับมาเกิดเป็นคน สัตว์เป็นสัตว์ก็เกิดเป็นสัตว์ แต่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาน่าจะเป็นศาสนาเดียวที่อธิบายว่าสามภพสามภูมิมีโอกาสที่เราเวียนว่ายตายเกิดเป็นภพต่างๆ ได้เสมอกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็ระบุไว้ในตำนานพระเจ้า 500 ชาติ คือตำนานการเกิดการจุติมาสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะเสวยพระชาติ กว่าที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธองค์ พุทธภูมิ พระโพธิสัตว์ล้วนแต่ต้องเกิด รอเกิดมาทุกภพทุกภูมิทุกแบบ ลองผิดลองถูกมาทุกแบบ
คราวนี้เราเห็นแล้วว่า ความทุกข์ที่มันสูงขึ้นคือความทุกข์ของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เราเห็นทุกข์ครบทุกมิติ คนที่มีญาณเครื่องรู้ คนที่พิจารณาลึกซึ้ง ก็จะเห็นความทุกข์ครบถ้วนในทุกมิติ มากกว่าคนทั่วไปที่เขาเห็นเพียงแต่ความทุกข์ที่เผชิญอยู่เฉพาะหน้า พอไม่เห็นความทุกข์ที่มันละเอียด พอมันมีเงินทอง มีสิ่งที่เป็นวัตถุ บำรุงบำเรอความสุข ก็ทำให้เพลิดเพลินทำให้หลงอยู่กับความเป็นมนุษย์ อันนี้ก็เลยทำให้มองไม่เห็นความทุกข์ จนกว่าจะพบเจอกับจุดเปลี่ยนจุดหักเห จุดหักมุมของชีวิต จนกระทั่งเห็นทุกข์แล้วเห็นธรรม แต่คนที่เขามีบุญมีปัญญาสะสม เคยเจริญพระกรรมฐาน เคยพิจารณาในอริยสัจมาก่อน เขาสามารถที่จะพิจารณาแล้วเห็นทุกข์โดยไม่คัดค้าน โดยไม่เถียง ยอมรับว่าใช่ที่จริงมันเป็นทุกข์ พอเราเข้าใจเรื่องความทุกข์ทั้งหมดแล้ว เราจึงตั้งจิตปรารถนาออกจากทุกข์ โดยในที่สุดก็คือเข้าถึงโมกขธรรมความดับทุกข์เข้าถึงพระนิพพาน
คราวนี้เราก็ต้องมาเข้าใจเหตุก่อนว่า แล้วความทุกข์มันเกิดขึ้นจากอะไร ความทุกข์เกิดขึ้นถ้าโดยสภาวะของการมีขันธ์ 5 เหตุก็คือมีขันธ์ 5 มีกายเนื้อ เราก็เลยทุกข์ ถ้าจะไม่ทุกข์จากการมีขันธ์ 5 ก็คือไม่ต้องเกิด อันนี้ก็ตรงจุดที่สุดก็คือ ความดับไม่เหลือเชื้อ ถ้าไม่เกิดก็ไม่ต้องมาทุกข์ ถ้าไม่เกิดก็ไม่ต้องมารับกรรม ไม่เกิดก็ไม่ต้องมารับวิบาก ถ้าไม่ต้องเกิดเราก็ไม่ต้องมารับหนี้กฎของกรรม มาพบเจอกับเจ้ากรรมนายเวรที่จองล้างจองผลาญ ดังนั้นดับคือการไม่เกิดจุดเดียว คราวนี้ต่อมาพิจารณาว่าแล้วตัวอะไรที่มันทำให้ไม่เกิด สิ่งที่ผูกรัดจิตไว้กับภพภูมิทั้งหลายก็คือสังโยชน์ทั้ง 10 ห่วงในบุคคลอื่นก็ทำให้เราเกิด ติดในรส รูป กลิ่น เสียง สัมผัสก็ทำให้เราเกิด ผูกพันยึดติดกับบุคคลอันเป็นที่รัก ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นลูก ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา ก็เป็นเครื่องล่ามผูกโยงให้กลับมาเกิด แรงพยาบาทจองเวรที่เราผูกเวรเป็นเจ้ากรรมนายเวรผู้อื่นก็ทำให้เราต้องกลับมาเกิด ผลกรรมอยากเสวยผลบุญ บุญเราทำแล้ว เราอยากเสวยผลบุญ เราตั้งจิตอธิษฐานให้เกิด มันก็ทำให้เกิด เช่นอธิษฐานว่าขอให้ชาติหน้า เกิดมารวย เกิดมาสวย เกิดมามีปัญญา อธิษฐานไว้ก็ต้องเกิด ดังนั้นสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือเป็นเครื่องผูกให้เราเกิด
เราก็มาพิจารณาต่อ นิโรธคือความดับ วิมุตคือความบริสุทธิ์ จิตที่เราบริสุทธิ์ก็คือสิ้นอาสวะกิเลส ความรัก โลภ โกรธ หลงมันเป็นเชื้อของการเกิด การตัดทั้งหมดอันที่จริงสำคัญที่การตัดสังโยชน์ 10 สำคัญที่การตั้งจิตเจตนา คือมีเจตนารมณ์ที่ว่า เราตั้งใจที่จะสิ้นภพจบชาติ สิ้นแรงดึงดูด ในการอยากเกิด ไม่ว่าจะเป็นภพใด ความเป็นมนุษย์ก็ไม่อยากมาเกิด ความเป็นเทวดาชั้นไหนก็ไม่อยากเกิด ความเป็นพรหมเราก็ไม่อยากมาเกิด อรูปพรหมก็ไม่อยากมาเกิด ส่วนทุคติภูมิไล่ลงไปตั้งแต่ โอปปาติกะ สัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน เราก็ปิดอบายภูมิโดยการรักษาศีล แล้วก็ตั้งใจว่ายิ่งทุคติภูมิ เรายิ่งไม่อยากเกิดเข้าไปใหญ่ จิตสิ้นความอาลัยความสนใจ ความอยาก ความเกาะในภพทุกภพ ตั้งจิตอยู่กับพระนิพพานเพียงจุดเดียว ทานเมื่อก่อนเราทำทานโดยตั้งจิตอธิษฐาน ขอทานนั้นบุญที่ทำจงปรากฏมีทิพยสมบัติ เป็นวิมานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีเครื่องประดับ มีอาหารอันเป็นทิพย์ มีเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องทรงของความเป็นเทวดา มีวิมานที่สว่างไสวใหญ่โต อันนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ก็ยังเกาะภพอยู่ หรือเจริญจิตในสมาบัติ แผ่เมตตาตั้งจิตอธิษฐานเข้าถึงพรหมมัน คือความเป็นพรหม เข้าถึงปรมาตมัน ความเป็นพรหมอันยิ่งใหญ่ มีอายุความเป็นทิพย์แห่งความเป็นพรหมยืนยาว มีรัศมีกายสว่างไสวรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง มีอายุความเป็นทิพย์ ยืนนานยาวนานหลายกัปป์หลายมหากัปป์ จนพระพุทธเจ้าตรัสไปหลายพระองค์แล้วก็ยังไม่หมดบุญจากความเป็นพรหม กำลังฌานสมาบัติที่ตั้งจิตว่าอยากเป็นพรหม อยากอยู่นาน จริงๆความเป็นพรหมก็ถือว่าใกล้เคียงความเป็นอมตะ คือนานจัดนานมาก แต่ก็ยังมีวาระที่ยังหมดบุญยังไม่จบ อันที่จริงจะเป็นอมตะจิต จะเป็นอมตะโดยปรมัติได้ก็คือนิพพาน เคยอยู่ที่นั่น ไม่เสื่อม ไม่ถอย ไม่หลุด ไม่ร่วง ไม่ต้องตกลงมาเกิดอีกต่อไป จริงๆถึงใช้คำว่าพระนิพพานเป็นอมตะธรรม อยากเป็นอมตะจริงๆก็คือต้องนิพพาน อันนี้กล่าวถึงนิโรธ วิโมกขธรรม วิมุตติธรรม คือความหลุดพ้นก็คือตั้งจิตตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน ตอนนี้เราพิจารณาแล้วก็ถามจิตของเราว่า จิตเราตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานไหม อธิษฐานจิต ปักจิตพึงพอใจอยู่กับพระนิพพานจุดเดียวไหม อันนี้คือนิโรธ สุดท้ายคือ มรรค
มรรคคือเส้นทาง เส้นทางก้าวย่าง ทางเดินการปฏิบัติเพื่อให้ถึงวิมุติ ถึงนิโรธ ถึงพระนิพพาน มรรคคือการปฏิบัติ เราปฏิบัติสมกับที่เราปรารถนาพระนิพพานแล้วหรือยัง ถ้าเรามีกำลังของมโนมยิทธิ เรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานทุกวันไหม จิตเราถึงพระพุทธองค์ทุกวันไหม จิตเราพิจารณาอธิษฐานจิตตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานทุกวันไหม นึกถึงทำได้ทุกวัน ทำได้บ่อยแค่ไหน อย่างน้อยที่สุด 3 ครั้ง ตื่นมาปุ๊บนึกถึงทันที ระหว่างวันระหว่างสวดมนต์ไหว้ ยกจิตถึงพระนิพพาน กราบพระพุทธองค์ทันที ก่อนนอนยกจิตตั้งจิตพิจารณา นอนไปถ้าตายไปเราไปพระนิพพาน ถ้าเราทำด้วยความเพียรเช่นนี้ทุกครั้งทุกวัน มรรคที่เราเดิน จิตที่เราพิจารณาก็คู่ควรกับการที่เราจะเข้าถึงพระนิพพาน อย่างที่พูดไว้เสมอว่า ถ้าเราประกาศว่า จะขอไปพระนิพพานชาตินี้ แต่จิตของเรายังไม่ปฏิบัติสมกับสิ่งที่เราตั้งจิตคือพระนิพพาน ยังห่างมาก ความเพียรอย่างน้อยมาก ยังไม่ได้ปฏิบัติเป็นนิจ จิตยังไม่เกาะอยู่กับพระนิพพานเต็มที่ โอกาสที่เราจะพลาด โอกาสที่เราจะร่วงคือคลาดจากพระนิพพานก็ยังมี สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับมรรค การปฏิบัติ ปฏิบัติให้คู่ควรกับผล ปฏิบัติให้คู่ควรกับพระนิพพาน ตรงนี้ก็ให้เราตั้งกำลังใจของเรา และสิ่งสำคัญในปัจจุบันก็ถือว่า ธรรมะมีความเข้าใจกันในหมู่ผู้ปฏิบัติได้ตรงได้ลึกขึ้น
จากสมัยก่อนเมื่อหลายสิบปีก่อน ทุกคนพุทธบริษัท 4 มีความเชื่อว่า ถ้าจะไปนิพพานได้นี้ต้องเป็นพระเท่านั้น ฆราวาสไม่มีสิทธิ์ แต่ปัจจุบันทุกคนรู้หมดแล้ว จะเป็นผู้ชาย จะเป็นผู้หญิง จะเป็นเด็ก จะเป็นผู้ใหญ่ จะเป็นผู้สูงวัย ถ้าตั้งจิตถูกก็ไปพระนิพพานได้เช่นกัน ไม่ได้อยู่ที่อายุ ไม่ได้อยู่ที่สภาวะ ไม่ได้อยู่ที่เพศ
ดังนั้นทุกคนมีโอกาสที่จะไป ที่จะเข้าถึงพระนิพพานด้วยกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถที่จะขัดเกลาจิต ตั้งจิต มีความเพียรในการปฏิบัติ ปักจิตมั่นคงอยู่กับพระนิพพานเพียงใด การปฏิบัติธรรมนั้น อุปมาเหมือนกับการวิ่งแข่ง เป็นการวิ่งแข่งมาราธอน ซึ่งมันจำเป็นจะต้องยืนระยะยาวๆ ไม่ใช่แข่งวิ่ง 100 เมตร คือเก่งได้ เร็วได้ ครั้งเดียว ประเดี๋ยวเดียว คือทำได้ครั้งเดียว จากนั้นก็ไม่ทำอีกเลยไม่ปฏิบัติอีกเลย เห่อมาวัด เห่อปฏิบัติเพียงชั่วครั้งชั่วคราว มาฝึกมาปฏิบัติมาครั้งเดียวช่วงเวลาเดียว บางคนอย่างเก่งฝึกปฏิบัติมา 1 ปีต่อเนื่อง พอถึงเวลาจิตมันเกิดเบื่อเกิดจืด ย้อนกลับไปทางโลก เรียกว่าหลุดออกไปจากทางธรรมอย่างสิ้นเชิง อันนี้มีให้เห็นมากมาย อย่างอาจารย์ปฏิบัติมาตั้งแต่หนุ่ม เห็นคนที่หลุดออกไปจากความดี หรือลูกศิษย์ที่เมื่อก่อนก็ขยัน ปฏิบัติต่อเนื่อง ปฏิบัติจนเก่ง ปฏิบัติจนคล่องตัว ปฏิบัติจนชัดเจน แต่สุดท้ายก็หลุดออกไป สุดท้ายก็เสื่อมออกไป มากมายหลายรุ่นมาก มีน้อยคนมากที่ยืนระยะยังปฏิบัติยังมั่นคง ยังปฏิบัติแนบอยู่ทรงอารมณ์ ทรงคุณภาพของจิตได้สม่ำเสมออยู่ ก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุด การปฏิบัติธรรมนั้น เราต้องเข้าใจว่าเป็นเหมือนกับกิจวัตร เป็นสิ่งที่เราต้องทำทุกวัน คำว่ากิจวัตรก็มีตัวอย่างเช่นเราอาบน้ำทุกวันไหม เราแปรงฟันทุกวันไหม เราเปลี่ยนเสื้อผ้า เราทำความสะอาดร่างกายทุกวันไหม เรากินข้าวทุกวันไหม เรานอนทุกวันทุกคืนไหม กิจวัตรต่างๆเหล่านี้ ก็เฉกเช่นเดียวกันกับการปฏิบัติธรรม เราต้องนึกถึงพระรัตนตรัยทุกวันไหม พิจารณาความตายทุกวันไหม พิจารณาธรรมทุกครั้งที่มีการกระทบไหม หรือยามใจสบายๆเราก็พิจารณาธรรมะยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานทุกวันไหม
อันนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เราพึงทำพึงปฏิบัติไปตลอดชีวิต ไม่ใช่ว่าพอเราถึงจุดหนึ่งแล้วเราหยุดทำเราเลิกทำ ต้องทำไปทุกวัน ทำไปตลอดชีวิต ทำไปเป็นนิจ อันนี้ถือว่าเรายังเดินอยู่ในมรรค ถ้าเราหยุดปฏิบัติธรรมก็ถือว่าเราหยุดเดิน ถ้าซ้ำแล้วเคยปฏิบัติธรรม แต่เราหลุดหลงไปกับทางโลก ทิ้งธรรม หลงโลกทิ้งธรรม ก็ถือว่าเราเดินไปทางอื่น ออกจากเส้นทางของธรรม ออกจากกระแสของโลกุตรธรรมไป อันนี้ก็ถือว่าเป็นวาระกรรมของแต่ละบุคคล เป็นสิ่งที่เมื่อไหร่กุศลฝ่ายดีเข้ามา เขาก็กลับเข้ามาเอง หรือหากกุศลฝ่ายดีไม่เข้ามา ก็อาจจะหลุดจากความดี หลุดจากเขตพระพุทธศาสนา หลุดจากเกณฑ์ของการเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในยุคในสมัยแต่ละช่วง แต่ละยุค อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับบุคคล ถ้าพิจารณาได้ เราจะเกาะพระรัตนตรัย เราจะเกาะกระแสพระนิพพาน ไม่ยอมหยุด คนที่มีปัญญาพิจารณาได้ ก็จะเห็นตรงนี้ ลองพิจารณาดูตามอาจารย์ที่เล่าจริงไหม คนที่เคยปฏิบัติที่เคยปฏิบัติดีๆ อ้าวหลุดบางคนหลุดไปเป็นมิจฉาทิฏฐิก็เยอะ
นี่เป็นเรื่องธรรมดาเป็นเรื่องของวาระกรรม เรายังยืนอยู่ได้ไหม ยืนระยะอยู่ได้ไหมในการปฏิบัติ ยังมีความสม่ำเสมอไหม ยังปฏิบัติสม่ำเสมอ ยังทรงความดีสม่ำเสมอ ยังสร้างบำเพ็ญกุศลสม่ำเสมอ สิ่งสำคัญของการยืนระยะนี้ก็คือ บารมีก็จะค่อยๆสะสมเพิ่มเติมเหมือนหยาดน้ำฝน หยาดลงมาจากฟ้าทีละเม็ด ทำให้ภาชนะนั้นเต็มได้ฉันใด บุญบารมีความพากเพียรความสม่ำเสมอในการปฏิบัติ ในการสร้างกุศล ในการสร้างความดี ในการเจริญพระกรรมฐาน ก็ทำให้บารมีเราเต็มจนเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในที่สุดฉันนั้นด้วยเช่นกัน
พิจารณาแล้วก็ยังกำลังใจของเราเองแต่ละบุคคล ว่าเราจะไม่หลุดจากความดี เราจะทรงไว้ในความเป็นสัมมาทิฏฐิ เราจะรักษา เราจะบำเพ็ญกุศล จะรวยจะจนจะมีมากมีน้อย เราก็จะสร้างบำเพ็ญในบารมี ตั้งแต่ทาน ศีล ภาวนาขึ้นไปสม่ำเสมอ มีน้อยทำน้อยแต่ไม่หยุดทำ ไม่มีก็ทำด้วยกรรมฐาน ไม่มีก็ทำด้วยโมทนาจิต ไม่มีก็ทำด้วยเมตตาจิต ไม่มีวัตถุทานก็มองว่ายิ่งเป็นการดีที่ทำให้เราจำเป็นที่ต้องใช้ความบริสุทธิ์ของจิต เป็นเครื่องช่วยในการสร้างกุศล บางคนที่เขามีมากเขารวย แต่ว่าเขาประมาทหรือมีปัญญาความเข้าใจในการสร้างบารมีสร้างกุศลน้อย เขาก็คิดว่าปริมาณคือจำนวนเงินคือบุญใหญ่ แต่ที่จริงบุญ ทานสำคัญอยู่ที่จิตที่บริสุทธิ์ จิตที่บริสุทธิ์มันเท่ากับเราได้ภาวนาไปพร้อมกับทาน กำลังมันสูงกว่าจำนวนเงิน
ดังนั้นยิ่งมีน้อย เรากลับยิ่งต้องใช้กำลังใจสูง ที่พูดเช่นนี้ได้ก็เพราะว่าไม่ใช่ว่าอาจารย์มีมาก อาจารย์เลยต้องหาวิธีการที่ว่าถ้าเรามีน้อยทำยังไงถึงจะมีผลมีอานิสงส์สูง มันเลยทำให้เกิดปัญญาในธรรมที่จะพิจารณาว่าการปฏิบัติธรรม เราจะปฏิบัติอย่างไร ทำน้อยจะเกิดผลสูงเกิดผลมาก ทำทานยังไง มีปริมาณเงินน้อยแต่ทำให้ได้ผลอานิสงส์สูงอานิสงส์มาก ดังนั้นเราก็พยายามปฏิบัติธรรมและต้องเกิดปัญญาขึ้นเสมอ สำหรับวันนี้ก็สมควรกับเวลา ปัญญาบารมีและบารมีทั้ง 30 ทัศ ขอจงปรากฏเกิดขึ้นในดวงจิตของเราทุกคนที่ตั้งใจมีความเพียรในการปฏิบัติ ความสม่ำเสมอสำคัญที่สุด
จากนั้นน้อมจิตอธิษฐาน อาราธณาบารมีน้อมกระแสจากพระนิพพาน แผ่เมตตาลงมา ยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นกระแสของบุญ กระแสเมตตา กระแสกุศล ลงมายังอรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น อากาศเทวดาทั้ง 6 รุกขเทวดา ทั่วอนันตจักรวาล ภุมม เทวดาทั่วอนันตจักรวาล สรรพสัตว์ มนุษย์ ผู้มี เนื้อขันธ์ 5 กายหยาบทั่วอนันตจักรวาล ทุกดวงดาว ทุกเอกภพ ดวงจิตดวงวิญญาณที่อยู่ในมิติที่ทับซ้อน เมืองบังบด เมืองลับแลทั้งหลาย โอปปาติกะ สัมภเวสีทั่วจักรวาล ทั่วทุกมิติ ดวงจิต ดวงวิญญาณของเปรตอสุรกายทั้งหลาย ในทุกภพทุกภูมิ และบรรดาสัตว์นรกทั้งหลายทั่วทุกขุม ขอจงรับ ขอจงโมทนา ขอจงมีส่วนร่วม ในกระแสแห่งเมตตาที่แผ่ลงมาจากพระนิพพาน
จากนั้นพิจารณาต่อไป ตั้งจิตอธิษฐาน ขออาราธนาท่านผู้มีพระคุณทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อแม่ในอดีตชาติและปัจจุบัน ขอยกกายทิพย์ของทุกท่านขึ้นมาบนพระนิพพาน ตั้งจิตว่าเนื่องจากวาระในช่วงเทศกาลวันแม่ เราก็น้อมนึกถึงพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ขอน้อมกระแสบุญกุศลที่ข้าพเจ้าเจริญพระกรรมฐาน บำเพ็ญทาน ศีล ภาวนาตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ขอจงเกิดปรากฏเป็นดอกบัวแก้วสว่าง น้อมถวายบูชาคุณพระรัตนตรัย พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ทั้งชาติปัจจุบันและอดีตชาติ ตั้งแต่ปฐมชาติ กำหนดน้อมจิตอธิษฐาน พ่อแม่ของเราที่ท่านบรรลุถึงพระนิพพานแล้วมีมากไหม ขอจงปรากฏให้ทราบให้รู้ให้เห็น กำหนดจิตกราบนะ รวมถึงที่ท่านอยู่ในภพอื่นภูมิอื่น ที่อาราธนาขึ้นมาปรากฏด้วย ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายมีบุญคุณต่อข้าพเจ้าในทุกภพทุกชาติ น้อมถวายกระแสบุญ ดอกบัวแก้วถึงทุกท่านทุกพระองค์ เทพพรหมเทวาที่ท่านเมตตาสงเคราะห์ข้าพเจ้ามาทุกภพทุกชาติ น้อมถวายบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ น้อมจิตถวาย
จากนั้นตั้งจิตแผ่กระแสลงมายังประเทศไทยลงมายังโลกมนุษย์ ลงมายังสถานปฏิบัติธรรม วัดวาอารามทั้งหลาย ลงมายังพระราชวัง พระบรมมหาราชวัง ลงมายังองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชินี พระพันปีหลวง พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ตลอดรวมไปจนถึงบุคคลทั้งหลาย ทั้งมนุษย์เทวดาพรหมที่มีจิตเจตจำนง สร้างคุณประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอจงมีกำลังบุญฤทธิ์ เทพฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ปรากฏ ทรงความดี ทรงกุศล ยังประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ยิ่งขึ้นมากขึ้น มีแรงจิตแรงใจ กำลังใจมีเทพยดาหนุนนำสงเคราะห์มีบุญฤทธิ์ เทพฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์เต็มกำลัง น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมา กำลังกรรมฐาน กำลังจิตเจตนาที่เราปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง พระพุทธศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ ยิ่งยังประโยชน์ ยิ่งเป็นกุศล ในปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ที่เรามีต่อส่วนร่วมนั้นยิ่งทำให้บุญเราบารมีเราเต็มเร็วขึ้น
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน กราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์ เมื่อน้อมจิตกราบลาด้วยความเคารพแล้ว เราก็พุ่งอาทิสมานกายเป็นแสงสว่างกลับลงมายังกายเนื้อบนโลกมนุษย์ อธิษฐานน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมา เป็นลำแสงสว่างคลุมกายคลุมจิต กระแสธาตุธรรม กระแสพระนิพพานฟอกชำระล้าง ฟอกธาตุขันธ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จนกลายเป็นแก้วใส โครงกระดูกเส้นเอ็นหลอดเลือดจนกลายเป็นแก้วใส อาการทั้ง 32 อวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ขอธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์เป็นแก้วใส โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย จงสลายตัวไปด้วยธาตุธรรม ความบริสุทธิ์วิมุต กระแสพลังจากพระนิพพาน เนื้องอกเซลล์ผิดปกติจงสลายตัวไป หลอดเลือดอุดตันจงสลายตัวไป กระแสที่เป็นมิจฉาทิฐิ ที่เป็นอกุศลในจิตจงสลายตัวไป สิ่งใดที่เป็นวิบากอกุศลที่ทำให้จิตเศร้าหมอง ที่ทำให้จิตติดขัด ขอกระแสแห่งพระนิพพานชำระล้างฟอกสลาย วิบากทั้งหลายจงคลายตัวจงสลายไป อกุศลทั้งหลายในจิตจงสลายออกไป วิบากทั้งหลายจงคลายตัวจงสลายออกไป มีแต่กุศลหลั่งไหลลงมารวมตัวกัน กระแสบุญ กระแสกุศล สายทรัพย์สายสมบัติจงหลั่งไหลลงมาสู่ชีวิต ตราบที่ยังมีชีวิตขอจงมีแต่ความสุข มีแต่ความเจริญ มีแต่ความรุ่งเรือง มีแต่ความคล่องตัวในทุกด้าน ในทุกสิ่ง กำหนดจิต กายและจิตสว่างใส บุญหล่อเลี้ยงร่างกายธาตุขันธ์ กุศลหลั่งไหลหล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ กระแสบุญยิ่งปรากฏกระจ่างแจ้ง บุญส่งผลทันใจ บุญใหญ่ส่งผลก่อน
จากนั้นหายใจเข้าช้าๆลึกๆ 3 ครั้ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ จิตนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย มีคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์คุ้มครองรักษา จิตสว่างผ่องใส สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ให้ทุกคนมีความสุขความเจริญ อย่าลืมไปกราบคุณแม่ด้วยอารมณ์จิตที่มีความรัก มีความกตัญญูต่อท่าน ต่อท่านผู้มีพระคุณของเรา ให้บุญกุศลตั้งใจว่า บุญกุศลที่เราสร้าง ที่เราบำเพ็ญ ที่เราเกิด ที่เราคลอดออกมา เรามีกายเนื้อมีขันธ์ 5 มาสร้างความดีสร้างกุศล ก็เพราะแม่เป็นผู้ให้กำเนิด ให้เรามาสร้างบารมี ดังนั้นบารมีทั้งหลายที่เป็นบุญเป็นกุศล เราขอถวาย เราขออุทิศ เราขอมอบให้กับแม่ของเรา ให้ท่านมีส่วนร่วมในบุญกุศล ในธรรมที่เราได้ ที่เรามีที่เราเข้าถึงทุกอย่างทุกประการ ความกตัญญูรู้คุณที่สำคัญที่สุดที่สามารถตอบแทนพระคุณพ่อแม่ได้ก็คือ การที่เราชักนำพ่อแม่ให้เข้าได้ดวงตาเห็นธรรม หรือเข้าทางธรรม หรือยิ่งดีที่สุดก็คือให้ท่านมีจิตเจตจำนงที่จะเข้าถึงพระนิพพานชาตินี้ได้ยิ่งเลิศที่สุด
ขั้นที่ 1 ก็คือให้ท่านเริ่มเข้าทางธรรม จะเป็นสวดมนต์ จะเป็นรักษาศีล จะเป็นไปทำบุญทำทาน
ขั้นที่ 2 ที่ทำได้ก็คือให้เริ่มปฏิบัติธรรม เจริญพระกรรมฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้ดวงตาเห็นธรรม
ขั้นที่ 3 สูงสุดดีที่สุดก็คือช่วยนำพา ช่วยแนะนำ ช่วยสนับสนุนให้ท่านตั้งจิตเพื่อเข้าถึงพระนิพพานชาตินี้
อันนี้ถือว่าตอบแทนพระคุณแม่ได้หมด ได้ครบ ในพระธรรมบท ในพระไตรปิฎกก็กล่าวไว้ว่า ให้เราหาบพ่อหาบแม่ บ่าซ้ายบ่าขวา ป้อนอาหาร นุ่งผ้าอาบน้ำ ขี้เยี่ยวอยู่บนไหล่เราสองข้าง เป็นร้อยชาติพันชาติก็ตอบแทนพระคุณไม่หมด แต่การจะตอบแทนพระคุณได้หมด ก็คือให้ท่านเข้าสู่ทางธรรม ให้ชาติภพท่านสั้น ให้ท่านมีคติที่ไป อันนี้ถือว่าตอบแทนพระคุณท่านได้ อันนี้ก็อย่าลืม ก็ไปทำ ไปปฏิบัติ
อธิษฐานขอบารมีพระว่าขอให้เราสามารถน้อมจิตน้อมใจพ่อแม่ของเรา ให้เข้าทางธรรมได้ ขอบารมีพระก็จะง่ายจะเบากว่า ที่เราคิดโดยกำลังของเราเอง แล้วก็ฝากไว้ว่าอย่าลืมช่วยกันเขียนแผ่นทองอธิษฐานจิต สร้างพระเจ้าองค์แสนจิตพระนิพพาน ทุกครั้งที่ยกจิตขึ้นพระนิพพาน ก็เขียนแผ่นทองอธิษฐานจิต สำหรับใครที่อยากช่วยเขียนแผ่นทองอธิษฐาน เพื่อหล่อพระพุทธรูปทรงเครื่องจักรพรรดิ์ปิดทอง ก็สามารถแจ้งความจำนงที่จะขอแผ่นทองมาได้ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพราะตอนนี้สิ่งสำคัญที่ยากกว่าก็คือ จิตที่ตั้งมั่นในพระนิพพานแล้วช่วยกันเขียนแผ่นทองให้ได้ครบแสนแผ่น อันนี้ถือว่าเป็นปรมัตถ์ คนที่ร่วมสร้างด้วย ก็ถือว่ามีบารมีไม่ธรรมดา ช่วยกันทำช่วยกันสร้าง
สำหรับวันนี้สวัสดี พบกันใหม่สัปดาห์หน้า
ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณวรรณภา